ประโยชน์ของการ ประกันชีวิต คือ
การประกันชีวิต เป็นการระดมเงินทุนในรูปของเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งบริษัทสามารถนำไปลงทุน ประกอบธุรกิจอื่นได้ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงิน การจ้างงาน ฯลฯ และนำมา ซึ่งการพัฒนาประเทศ นอกจากนั้นผู้เอาประกันภัยยังสามารถนำเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ มีระยะเวลาเอาประกันภัยไม่ต่ำกว่า 10 ปี ไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ไม่เกิน 100,000 บาท
การ ประกันชีวิต แตกต่างกับการ ฝากเงินไ ว้กับ ธนาคาร อย่างไร
ขณะนี้การ ประกันชีวิต ได้รับความสนใจจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้ มองเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการประกันชีวิต แต่ปรากฏว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการประกัน ชีวิตเหมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร ประกอบกับรูปแบบการเสนอขายในปัจจุบันของตัวแทนประกัน ชีวิตอาจจะมีการชี้แจงไม่ครบถ้วนและก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งโดยลักษณะที่แท้จริงแล้วการประกัน ชีวิตและการฝากเงินไว้กับธนาคารนั้นมีความแตกต่างกันดังนี้
1. การฝากเงินไว้กับธนาคาร ถ้าผู้ฝากเงินเสียชีวิตทายาทก็จะได้รับเงินฝากพร้อมดอกเบี้ย ส่วน การทำประกันชีวิต ถ้าผู้ทำประกันชีวิตเสียชีวิตภายใต้เงื่อนไข ถึงแม้ชำระเบี้ยประกันมาเพียงงวดเดียว ผู้รับประโยชน์ก็จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัย ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไปแล้ว ตัวอย่าง เช่น นาย A ฝากเงินไว้กับธนาคาร ปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี เมื่อนาย A ถอนเงินคืนหรือนาย A เสียชีวิต นาย A หรือ ทายาทจะได้รับเงิน 30,000 บาท รวมกับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากนาย A ทำประกันชีวิต โดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท จ่าย จ่ายเบี้ยประกันภัยปี ละ 10,000 บาท เมื่อนาย A เสียชีวิตในปีที่ 3 ผู้รับประโยชน์ของนาย A จะได้รับเงิน 100,000 บาท แม้ว่านาย Aจะจ่ายเบี้ยประกันไปเพียง 30,000 บาท
2. การฝากเงินกับธนาคารจะฝากเมื่อใดก็ได้ตามที่ท่านต้องการ แต่การทำประกันชีวิตท่านต้อง ชำระเบี้ยประกันภัยตามงวดการชำระเบี้ยประกันภัยที่กำหนดไว้ไม่เช่นนั้นกรมธรรม์ของท่านจะสิ้นผล บังคับ เบี้ยประกันภัยที่ท่านได้ชำระไปแล้วจะไม่ได้คืนกลับมาเลยในปีแรกเพราะบริษัทได้คิดเป็นค่าความ คุ้มครองการเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายของท่านแล้ว ขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
3. การฝากเงินกับธนาคารนั้น ท่านสามารถถอนเงินหรือปิดบัญชีเมื่อใดก็ได้ ท่านก็จะได้รับ เงินต้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย (ถ้ามี) แต่การทำประกันชีวิตเมื่อท่านต้องการยกเลิกสัญญาประกันชีวิต ท่านจะไม่ได้รับเงินที่ท่านชำระเบี้ยประกันภัยคืนเต็มจำนวน โดยในปีแรกถ้าท่านยกเลิกสัญญาท่านจะไม่ได้ รับเงินคืนเลย แต่เมื่อกรมธรรม์มีอายุครบ 2 ปีขึ้นไป จึงจะมีเงินเหลือคืนให้ แต่จำนวนเงินที่ได้คืนนี้จะ น้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่ท่านได้ชำระไปแล้ว เมื่อปีต่อๆไปเงินจำนวนนี้จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน กรมธรรม์ครบกำหนดก็จะได้เท่ากับจำนวนเงินเอาประกันภัย
แบบของการ ประกันชีวิต
กรมธรรม ์ประกันชีวิต มีแบบที่ถือว่าเป็นแบบพื้นฐานอยู่ 4 แบบ ประกอบด้วย
แบบสะสมทรัพย์ คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้เอาประกันภัยใน 2 เงื่อนไขด้วยกัน คือ
(1) เมื่อผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือ
(2) เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาเอาประกันภัยก่อนวันครบกำหนดสัญญา ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันภัยซื้อประกันชีวิตเมื่ออายุ 40 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัย 200,000 บาท กำหนดอายุสัญญา 20 ปี (กรมธรรม์สิ้นสุดเมื่อผู้เอาประกันภัยอายุ 60 ปี)
ภายใต้เงื่อนไขนี้
(1) หากผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 60 ปี บริษัทจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย 200,000 บาท ให้ผู้เอา ประกันภัยหรือ
(2) หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในปีใดปีหนึ่งก่อนอายุครบ 60 ปี บริษัทจะต้องจ่าย จำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์จำนวน 200,000 บาท
แบบตลอดชีพ คือสัญญาประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยตลอดชีวิต โดย บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือในกรณีพิเศษที่ผู้เอาประกันภัยมีชีวิตยืนยาวจนถึงอายุ 99 ปี บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายจำนวนเงิน เอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
แบบชั่วระยะเวลา คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาเอาประกันภัย ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันภัย อายุ 40 ปี ทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา กำหนด 10 ปี ต่อมาปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อ อายุ 45 ปี ซึ่งยังอยู่ในอายุสัญญา บริษัทจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่หาก ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบกำหนดสัญญาแล้ว (อายุ 50 ปี) ผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับเงินคืนจากบริษัท
แบบเงินได้ประจำ คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินงวดเท่าๆกันทุก เดือนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตลอดชีพ หรือในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
เบี้ย ประกันภัย คืออะไร
เบี้ย ประกันภัย คือจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายให้กับบริษัทเพื่อซื้อความคุ้มครองที่จะ ได้รับจากการประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยเปรียบเทียบได้กับราคาสินค้านั่นเอง ในการขายสินค้าชนิดอื่น ราคาขายย่อมเท่ากับราคาต้นทุนบวกกำไร ในการประกันชีวิตก็เช่นเดียวกัน จำนวนเบี้ยประกันภัยที่บริษัท เรียกเก็บจากผู้เอาประกันภัยจะต้องมีจำนวนเพียงพอกับค่าต้นทุนในการประกอบการรับประกันชีวิตของ บริษัท บวกกำไรของบริษัท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลตอบแทนจากการลงทุนของ บริษัท เบี้ยประกันภัยที่บริษัทนำไปเสนอขายแก่ประชาชนนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน เพื่อพิจารณาความถูกต้องตามหลักการคำนวณด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย
เมื่อยกเลิกกรมธรรม์ ประกันภัย จะได้รับเงินคืนหรือไม่ อย่างไร
ถ้าผู้เอาประกันภัยยกเลิกการทำประกันชีวิตก่อนที่กรมธรรม์จะครบกำหนดสัญญา โดยเฉพาะ ถ้าเป็นการยกเลิกในปีแรกของการทำประกันชีวิต ผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับเงินที่จ่ายไปแล้วคืน เนื่องจาก บริษัทมีค่าใช้จ่ายในปีแรกค่อนข้างสูง เช่น ค่าออกกรมธรรม์ ค่าตรวจสุขภาพ ค่าบำเหน็จตัวแทนประกัน ชีวิต จากค่าใช้จ่ายที่สูงนี้จึงทำให้ ไม่มีเงินคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัย แต่ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ย ประกันภัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนเงินสดเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงิน คืนตามมูลค่าเวนคืนเงินสด
แต่การเวนคืนมูลค่ากรมธรรม์ ทำให้ความคุ้มครองในการประกันชีวิตสิ้นสุดลง ดังนั้น ถ้าผู้เอาประกันมีความจำเป็นต้องใช้เงินอาจใช้วิธีการกู้ยืมมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ก่อน หรือ อาจใช้วิธีการแปลงกรมธรรม์เป็นใช้เงินสำเร็จ หรือ การแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลา เพื่อให้กรมธรรม์มีความคุ้มครองและเป็นหลักประกันความมั่นคงให้ตัวเอง และครอบครัวได้
ช่วยสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้แก่ผู้เอาประกันภัยและครอบครัว เช่น หากผู้นำ ครอบครัวทำประกันชีวิตไว้แล้วเกิดเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เงินประกันชีวิตที่ได้รับจะช่วยบรรเทาความ เดือดร้อนทางการเงินของครอบครัวได้ระยะหนึ่ง หรือหากทำประกันชีวิตเพื่อการศึกษาของลูกไว้ ลูกก็จะมี เงินใช้จ่ายเพื่อการศึกษาได้ต่อไป ช่วยให้เกิดการออมทรัพย์อย่างมีวินัยและต่อเนื่องเพราะการ ประกันชีวิต เป็นสัญญาระยะยาว และผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันภัยเป็นรายงวด บางรูปแบบของการประกันชีวิตจะมีส่วน ของการออมทรัพย์อยู่ด้วยแต่จะไม่เหมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร เนื่องจากการทำประกันชีวิตเป็น การซื้อความคุ้มครองเป็นหลัก ดังนั้นหากมีการยกเลิกกรมธรรม์ในปีใดก็ตามระหว่างอายุสัญญา เงินที่ผู้ เอาประกันภัยได้รับคืนมาจะไม่เท่ากับจำนานเงินเบี้ยประกันภัยที่จ่ายให้กับบริษัทเพราะส่วนหนึ่งต้องจ่าย เป็นค่าซื้อความคุ้มครอง ส่วนดีก็คือ หากผู้เอา ประกันภัยเสียชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินผลประโยชน์ตามจำนวนเงินเอาประกันภัย ซึ่งมากกว่าจำนวนเบี้ย ประกัน ภัย ที่จ่ายบริษัทไปแล้ว
การประกันชีวิต เป็นการระดมเงินทุนในรูปของเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งบริษัทสามารถนำไปลงทุน ประกอบธุรกิจอื่นได้ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงิน การจ้างงาน ฯลฯ และนำมา ซึ่งการพัฒนาประเทศ นอกจากนั้นผู้เอาประกันภัยยังสามารถนำเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ มีระยะเวลาเอาประกันภัยไม่ต่ำกว่า 10 ปี ไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ไม่เกิน 100,000 บาท
การ ประกันชีวิต แตกต่างกับการ ฝากเงินไ ว้กับ ธนาคาร อย่างไร
ขณะนี้การ ประกันชีวิต ได้รับความสนใจจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้ มองเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการประกันชีวิต แต่ปรากฏว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการประกัน ชีวิตเหมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร ประกอบกับรูปแบบการเสนอขายในปัจจุบันของตัวแทนประกัน ชีวิตอาจจะมีการชี้แจงไม่ครบถ้วนและก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งโดยลักษณะที่แท้จริงแล้วการประกัน ชีวิตและการฝากเงินไว้กับธนาคารนั้นมีความแตกต่างกันดังนี้
1. การฝากเงินไว้กับธนาคาร ถ้าผู้ฝากเงินเสียชีวิตทายาทก็จะได้รับเงินฝากพร้อมดอกเบี้ย ส่วน การทำประกันชีวิต ถ้าผู้ทำประกันชีวิตเสียชีวิตภายใต้เงื่อนไข ถึงแม้ชำระเบี้ยประกันมาเพียงงวดเดียว ผู้รับประโยชน์ก็จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัย ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไปแล้ว ตัวอย่าง เช่น นาย A ฝากเงินไว้กับธนาคาร ปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี เมื่อนาย A ถอนเงินคืนหรือนาย A เสียชีวิต นาย A หรือ ทายาทจะได้รับเงิน 30,000 บาท รวมกับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากนาย A ทำประกันชีวิต โดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท จ่าย จ่ายเบี้ยประกันภัยปี ละ 10,000 บาท เมื่อนาย A เสียชีวิตในปีที่ 3 ผู้รับประโยชน์ของนาย A จะได้รับเงิน 100,000 บาท แม้ว่านาย Aจะจ่ายเบี้ยประกันไปเพียง 30,000 บาท
2. การฝากเงินกับธนาคารจะฝากเมื่อใดก็ได้ตามที่ท่านต้องการ แต่การทำประกันชีวิตท่านต้อง ชำระเบี้ยประกันภัยตามงวดการชำระเบี้ยประกันภัยที่กำหนดไว้ไม่เช่นนั้นกรมธรรม์ของท่านจะสิ้นผล บังคับ เบี้ยประกันภัยที่ท่านได้ชำระไปแล้วจะไม่ได้คืนกลับมาเลยในปีแรกเพราะบริษัทได้คิดเป็นค่าความ คุ้มครองการเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายของท่านแล้ว ขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
3. การฝากเงินกับธนาคารนั้น ท่านสามารถถอนเงินหรือปิดบัญชีเมื่อใดก็ได้ ท่านก็จะได้รับ เงินต้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย (ถ้ามี) แต่การทำประกันชีวิตเมื่อท่านต้องการยกเลิกสัญญาประกันชีวิต ท่านจะไม่ได้รับเงินที่ท่านชำระเบี้ยประกันภัยคืนเต็มจำนวน โดยในปีแรกถ้าท่านยกเลิกสัญญาท่านจะไม่ได้ รับเงินคืนเลย แต่เมื่อกรมธรรม์มีอายุครบ 2 ปีขึ้นไป จึงจะมีเงินเหลือคืนให้ แต่จำนวนเงินที่ได้คืนนี้จะ น้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่ท่านได้ชำระไปแล้ว เมื่อปีต่อๆไปเงินจำนวนนี้จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน กรมธรรม์ครบกำหนดก็จะได้เท่ากับจำนวนเงินเอาประกันภัย
แบบของการ ประกันชีวิต
กรมธรรม ์ประกันชีวิต มีแบบที่ถือว่าเป็นแบบพื้นฐานอยู่ 4 แบบ ประกอบด้วย
แบบสะสมทรัพย์ คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้เอาประกันภัยใน 2 เงื่อนไขด้วยกัน คือ
(1) เมื่อผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือ
(2) เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาเอาประกันภัยก่อนวันครบกำหนดสัญญา ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันภัยซื้อประกันชีวิตเมื่ออายุ 40 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัย 200,000 บาท กำหนดอายุสัญญา 20 ปี (กรมธรรม์สิ้นสุดเมื่อผู้เอาประกันภัยอายุ 60 ปี)
ภายใต้เงื่อนไขนี้
(1) หากผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 60 ปี บริษัทจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย 200,000 บาท ให้ผู้เอา ประกันภัยหรือ
(2) หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในปีใดปีหนึ่งก่อนอายุครบ 60 ปี บริษัทจะต้องจ่าย จำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์จำนวน 200,000 บาท
แบบตลอดชีพ คือสัญญาประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยตลอดชีวิต โดย บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือในกรณีพิเศษที่ผู้เอาประกันภัยมีชีวิตยืนยาวจนถึงอายุ 99 ปี บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายจำนวนเงิน เอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
แบบชั่วระยะเวลา คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาเอาประกันภัย ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันภัย อายุ 40 ปี ทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา กำหนด 10 ปี ต่อมาปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อ อายุ 45 ปี ซึ่งยังอยู่ในอายุสัญญา บริษัทจะต้องจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ แต่หาก ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบกำหนดสัญญาแล้ว (อายุ 50 ปี) ผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับเงินคืนจากบริษัท
แบบเงินได้ประจำ คือสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินงวดเท่าๆกันทุก เดือนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตลอดชีพ หรือในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
เบี้ย ประกันภัย คืออะไร
เบี้ย ประกันภัย คือจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายให้กับบริษัทเพื่อซื้อความคุ้มครองที่จะ ได้รับจากการประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยเปรียบเทียบได้กับราคาสินค้านั่นเอง ในการขายสินค้าชนิดอื่น ราคาขายย่อมเท่ากับราคาต้นทุนบวกกำไร ในการประกันชีวิตก็เช่นเดียวกัน จำนวนเบี้ยประกันภัยที่บริษัท เรียกเก็บจากผู้เอาประกันภัยจะต้องมีจำนวนเพียงพอกับค่าต้นทุนในการประกอบการรับประกันชีวิตของ บริษัท บวกกำไรของบริษัท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลตอบแทนจากการลงทุนของ บริษัท เบี้ยประกันภัยที่บริษัทนำไปเสนอขายแก่ประชาชนนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน เพื่อพิจารณาความถูกต้องตามหลักการคำนวณด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย
เมื่อยกเลิกกรมธรรม์ ประกันภัย จะได้รับเงินคืนหรือไม่ อย่างไร
ถ้าผู้เอาประกันภัยยกเลิกการทำประกันชีวิตก่อนที่กรมธรรม์จะครบกำหนดสัญญา โดยเฉพาะ ถ้าเป็นการยกเลิกในปีแรกของการทำประกันชีวิต ผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับเงินที่จ่ายไปแล้วคืน เนื่องจาก บริษัทมีค่าใช้จ่ายในปีแรกค่อนข้างสูง เช่น ค่าออกกรมธรรม์ ค่าตรวจสุขภาพ ค่าบำเหน็จตัวแทนประกัน ชีวิต จากค่าใช้จ่ายที่สูงนี้จึงทำให้ ไม่มีเงินคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัย แต่ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ย ประกันภัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนเงินสดเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงิน คืนตามมูลค่าเวนคืนเงินสด
การเวนคืนมูลค่ากรมธรรม์ เมื่อผู้เอาประกันชำระเบี้ยมาจนถึงเวลา ที่ทำให้กรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิจะบอกเลิกสัญญาได้ โดยการขอเวนคืนกรมธรรม์ และรับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ตามจำนวนที่กำหนดไว ้ในตารางมูลค่ากรมธรรม์ รวมทั้งเงินปันผลพร้อมดอกเบี้ยกรณีที่มีการสะสมไว้กับบริษัท หักด้วยหนี้สินใดๆ ที่ค้างชำระอยู่ (ถ้ามี)
แต่การเวนคืนมูลค่ากรมธรรม์ ทำให้ความคุ้มครองในการประกันชีวิตสิ้นสุดลง ดังนั้น ถ้าผู้เอาประกันมีความจำเป็นต้องใช้เงินอาจใช้วิธีการกู้ยืมมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ก่อน หรือ อาจใช้วิธีการแปลงกรมธรรม์เป็นใช้เงินสำเร็จ หรือ การแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลา เพื่อให้กรมธรรม์มีความคุ้มครองและเป็นหลักประกันความมั่นคงให้ตัวเอง และครอบครัวได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น